(บทความที่ 16)
ทำไปเพราะเหตุจำเป็น ไม่ต้องรับโทษ
บางครั้งคนเราก็กระทำให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหายด้วยเหตุจำเป็น ซึ่งกฎหมายจะพิจารณาและให้ความคุ้มครองไว้โดยไม่ถือว่าเป็นความผิดอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67 (2) ที่คุ้มครองการกระทำที่จำเป็นของบุคคลที่ทำไปเพื่อให้พ้นจากภยันอันตราย โดยการที่จะอ้างว่าเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็นได้นั้น ต้องเป็นเรื่องการกระทำผิดโดยเจตนา เช่น สุนัขบ้าไล่กัดนายเอ นายเอจึงไปพังประตูบ้านของนายบีเพื่อหนี เข้าหลบสุนัขบ้าดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้ประตูบ้านนายสองพัง แม้นายเอจะมีความผิดในฐานทำให้เสียทรัพย์ แต่ก็ไม่มีโทษต้องรับผิด เพราะเป็นการกระทำเพื่อให้พ้นภยันตราย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการกระทำดังกล่าวต้องไม่เข้าข่ายเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ หรือเป็นการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นโดยประมาท นั่นจะมิใช่เป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็น
ยกตัวอย่างเปรียบเทียบการอ้างเหตุกระทำความผิดด้วยความจำเป็น โดยเจตนา - ประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8649/2549
จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายซึ่งอายุไม่เกิน 15 ปี และจำเลยที่ 1 ไปยังพิพิธภัณฑ์เมืองโบราณบ้านโนนเมืองเพื่อให้จำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเรา แล้วขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายไปส่งบ้านจะถือได้ว่าเป็นการกระทำอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยมีอาวุธก่อนหรือขณะที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิด และจำเลยที่ 2 กระทำโดยมีเจตนาครบถ้วนตามหลักเกณฑ์องค์ประกอบความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม ประกอบมาตรา 86 แล้วก็ตาม แต่เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดดังกล่าวด้วยความจำเป็นเพราะถูกจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดลักษณะคล้ายมีดสปาต้า ยาวประมาณ 1 ฟุต จี้ที่คอของผู้เสียหายเลยมาถึงคอของจำเลยที่ 2 จนผู้เสียหายเกิดความกลัวว่าจะถูกทำร้ายจึงร้องบอกจำเลยที่ 2 ให้ขับรถจักรยานยนต์ต่อไปจนถึงที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและจำเลยที่ 2 ไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ อีกทั้งไม่ใช่ภยันตรายที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ก่อขึ้นเพราะความผิดของตน การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วยความจำเป็นพอสมควรแก่เหตุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 67 (2) จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7227/2553
ผู้ตายชอบเล่นอาวุธปืน บางครั้งเอากระสุนปืนออกจากลูกโม่แล้วมาจ่อยิงที่ศีรษะตนเองหรือผู้อื่นเพื่อล้อเล่น ในวันเกิดเหตุก่อนเกิดเหตุผู้ตายก็เอาอาวุธปืนมาเล่นอีก แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าขณะที่ผู้ตายเอาอาวุธปืนมาจ่อที่ศีรษะตนเองแล้วจำเลยเข้าแย่งเป็นเหตุให้ปืนลั่นนั้น ผู้ตายจะยิงตนเองหรือผู้ตายเมาสุราจนไม่ได้สติแต่อย่างใด ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยรู้หรือไม่ว่าอาวุธปืนดังกล่าวบรรจุกระสุนปืนหรือไม่ ดังนั้นการที่จำเลยเข้าแย่งอาวุธปืนในสถานการณ์ดังกล่าวถือว่าจำเลยกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ อันเป็นการกระทำโดยประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสี่